ปัญหาที่คนทำงานด้านการพิมพ์ต้องเจอ คือ ความละเอียดในงานพิมพ์ มือใหม่อาจจะคิดว่าไม่สำคัญ แต่ถ้าอยากให้งานพิมพ์ออกมาสวยงามและมีคุณภาพ ในกระบวนการพิมพ์สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการเตรียมไฟล์งานอาร์ตเวิร์คที่ถูกต้องเพื่อส่งโรงพิมพ์เพราะหากคุณออกแบบออกมาโดยไม่ได้เผื่อ Bleed หรือ Margin ไว้ ผลงานก็อาจจะถูกตัดออก หรือหากเลือกรูปภาพที่มีความละเอียดไม่เพียงพอ งานพิมพ์นั้นอาจไม่มีคุณภาพไปเลย วันนี้ SGE PRINT ขอนำเรื่องราว ความแตกต่างระหว่าง DPI และ PPI มาฝากกัน

เมื่อพูดถึงขั้นตอนของการทำอาร์ทเวิร์ค (Artwork) นอกจากจะต้องใส่ใจเรื่องการเผื่อระยะตัดตกแต่งแล้ว เรื่องความละเอียดของภาพเป็นอีกสิ่งที่สำคัญมากเช่นกัน ซึ่งเรื่องความละเอียดของภาพ ก็มีเรื่องของค่า DPIและPPI เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยทั้ง 2 แบบ มีรายละเอียดที่ต่างกันออกไป ดังนี้
1. DPI ย่อมาจาก Dots Per Inch คือ หน่วยวัดความละเอียดของรูปภาพที่เราจำเป็นต้องเลือกใช้ในงานพิมพ์เพื่อคุณภาพงานพิมพ์ที่ดีที่สุด ซึ่งยิ่งจำนวนจุดมีมากเท่าไหร่ ความคมชัดของรูปภาพก็จะมีมากยิ่งขึ้นเพราะเนื่องจากเครื่องพิมพ์ไม่สามารถรักษาขนาด Dot ให้เท่ากับ Pixel ได้ การพิมพ์ลงบนกระดาษที่ต่างกันอาจไม่สามารถรับหมึกได้เท่ากัน ส่งผลให้เกิดข้อแตกต่างกับความคมชัดของภาพ เช่น ภาพที่มีรายละเอียด 2500DPI ก็จะแสดงผลได้ละเอียดและชัดเจนมากกว่ารูปภาพที่มีความละเอียดเพียงแค่ 1100DPI เป็นต้น
2. PPI ย่อมาจาก Pixels Per Inch เป็นค่าบอกความละเอียดรูปภาพบนหน้าจอแสดงผลของจำนวนเม็ดพิกเซลต่อพื้นที่แสดงผลขนาด 1 ตารางนิ้ว เช่น คอมพิวเตอร์ และ โทรศัพท์เป็นต้น เนื่องจากทั้งสองหน่วยจะขึ้นอยู่กับพื้นที่นิ้ว อาจระบุได้ว่าจำนวนจุดและจำนวนพิกเซลเหมือนกัน โดยทั่วไปแล้วจอภาพแสดงผลจะมีค่าความละเอียดทั้งหมด 72PPI หรือ 1 นิ้วในหน้าจอแสดงผลจะมีค่าพิกเซลเท่ากับ 72 นั่นเอง และเรามักจะพบในแผง CCD , CMOS ของกล้องถ่ายภาพ ซึ่งจุดแต่ละพิกเซลเดียวกันนั้นสามารถแสดงผลหรือรับแสงสีได้เปลี่ยนแปลงตามค่าแสง ตามขนาดของ Pixel ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

PPI กับDPI เกี่ยวกันอย่างไร?
PPI ถึงจะเป็นหน่วยที่ใช้กับจอภาพแล้วแต่ยังใช้รวมไปถึงกำหนดขนาดของ Pixel บนสิ่งพิมพ์ เมื่อ Save file แล้วค่า PPI จะเปลี่ยนเป็นDPI ฝั่งอยู่ในตัวไฟล์เพื่อเป็นไกด์ไลน์สำหรับขนาดของภาพบนสื่อสิ่งพิมพ์
DPI คือ การตั้งค่าการพิมพ์ที่สามารถทำได้บนเครื่องพิมพ์
PPI คือ การตั้งค่าของภาพที่สามารถทำได้ในแอพพลิเคชั่นการพิมพ์

ความเข้าใจระหว่าง PPI และ การกำหนดค่าสีงานพิมพ์
ทั้ง PPI และ DPI เป็นหน่วยเพื่ออธิบายความละเอียด out put ของภาพเมื่อแสดงบนหน้าจอ (PPI) หรือพิมพ์ออกมาบนกระดาษ (DPI) ถ้าคุณแบ่งขนาดภาพ (จำนวนพิกเซลของภาพดิจิตอลทั้งหมด) เป็นความละเอียด out put สามารถกำหนดขนาดภาพที่จะแสดงบนหน้าจอหรือพิมพ์ออกมาได้ เช่น ภาพที่มีพิกเซล 3000×2000 พิกเซล พิมพ์ด้วยความละเอียดในการพิมพ์ 300DPI จะมีขนาดการพิมพ์ (กว้าง) 10 นิ้ว (3000 พิกเซล / 300DPI)
วิธีกำหนดค่าความละเอียดของภาพเพื่อส่งโรงพิมพ์
ความละเอียดของงานทั่วไปจะมีค่าความละเอียดเพียงแค่ 72DPI แต่เพื่องานพิมพ์ที่มีประสิทธิภาพ เราจำเป็นต้องใช้ความละเอียดของรูปภาพ 300DPI ขึ้นไปโดยคุณสามารถตั้งค่าตามโปรแกรมออกแบบ เช่น Photoshop และ Illustrator เป็นต้น
ซึ่งการตั้งค่าด้วยทั้ง 2 โปรแกรมนี้จะเป็นอย่างไร มาดูกันเลย!

1. การตั้งค่าความละเอียด DPI ในโปรแกรม Photoshop
สามารถตั้งค่าเริ่มต้นเมื่อเริ่มเปิดโปรแกรม Photoshop ขึ้นมา ใส่ขนาดกระดาษที่คุณต้องการ จากนั้นเลือกความละเอียดที่ 300 แทน 72 และอย่าลืมเปลี่ยนโหมดสีเป็น CMYK จากนั้นกด Create

2. การตั้งค่าความละเอียด DPI ในโปรแกรม Illustrator
เมื่อคุณได้เปิดโปรแกรม Illustrator ขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว สามารถตั้งค่าขนาดตามงานพิมพ์ที่คุณต้องการพิมพ์ เปลี่ยนโหมดสีเป็น CMYK หลังจากนั้นเราจำเป็นต้องเลือก 300PPI ซึ่งเป็นค่าสูงสุด แต่เดี๋ยวก่อน มีคำถามว่าหากคุณต้องการเพิ่มรูปภาพบนผลงาน อย่าลืมดูความละเอียดรูปภาพด้านบนเมนูโดยรูปภาพจำเป็นต้องมีความละเอียด 300PPI
จะรู้ได้ไงหากรูปที่เซฟมามีค่าเท่ากับ 300DPI หรือ 300PPI ?
ตัวอย่างการตรวจสอบค่าความละเอียดของรูปภาพจากโปรแกรมออกแบบที่แตกต่างกันทั้ง 2 โปรแกรมระหว่าง Photoshop และ Illustrator

1. Photoshop (PSD)
เมื่อเราได้บันทึกรูปมาเรียบร้อยแล้ว จะเห็นได้ว่าค่าความละเอียดของรูปนั้นเป็นค่า RGB แล้วเราจะต้องมาเปลี่ยนให้เป็น CMYK ก่อนโดยไปที่ Image > Mode > CMYK จากนั้นเรามาตรวจสอบค่าความละเอียดของรูปภาพโดยไปที่ Image > Image Size ตรวจสอบค่าความละเอียดที่ Resolution จะเห็นได้ว่าค่าความละเอียดของรูปภาพนี้มีเพียงแค่ 72Pixels/Inch เท่านั้น หมายความว่าเราไม่สามารถใช้รูปนี้ในการพิมพ์งานได้ และเมื่อได้เปรียบเทียบทั้ง 2 ภาพนี้ดูจะเห็นความแตกต่างของค่าความละเอียด และภาพด้านขวามือคือภาพที่เราควรใช้ในงานพิมพ์

2. Illustrator (Ai)
สำหรับ Illustrator เราสามารถตรวจสอบค่าความละเอียดรูปภาพได้ง่ายกว่า Photoshop มากเพราะโปรแกรมนี้เป็นโปรแกรมสำหรับการออกแบบสำหรับมืออาชีพโดยเฉพาะ เมื่อเราได้ดาวน์โหลดรูปภาพมาเรียบร้อยแล้ว ต้องเปลี่ยน RGB เป็น CMYK โดยเลือก File > Document Color Mode > CMYK จากนั้นให้ดูค่าความละเอียดที่แถบเมนูด้านบน จะเห็นได้ว่าทั้งสองมีค่าความละเอียดที่ต่างกันระหว่าง 2 ภาพนี้ และภาพด้านขวามือคือภาพที่เราควรใช้ในงานพิมพ์
ทั้งหมดนี้เป็นเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการเลือกรูปภาพสำหรับงานพิมพ์ เพียงแค่เลือกรูปภาพที่มีความละเอียดที่มีค่า 300DPI ก็สามารถสั่งพิมพ์กับโรงพิมพ์ได้แล้วจ้า 👍
😘 ส่งท้ายกันหน่อย!
DPI และ PPI นั้นเป็นต่างตัวเลขที่ใช้กำหนดความละเอียดในเรื่องของการแสดงผลทั้งคู่ แตกต่างกันที่อุปกรณ์แสดงผลว่าจะเป็นจอ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ ตัวเลขจะแปรตามระยะการมองเห็น และชนิดของสื่อเป็นหลัก แต่ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามเงื่อนไขอื่น ๆ อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับการใช้งานของเรา ๆ นั่นเอง

หากอยากได้งานพิมพ์ที่ออกมาสวยงาม มีคุณภาพ อย่าลืมเลือกค่าความละเอียดของภาพให้ถูกต้องตามประเภทของงานด้วยนะจ๊ะ สำหรับใครที่ได้ภาพความละเอียดสูงมาแล้ว สามารถนำมาทำโฟโต้บุ๊คเพื่อเก็บรวบรวมภาพสวย ๆ สร้างฉลากแบรนด์ ออกแบบโลโก้ ออกแบบป้ายต่าง ๆ กับงานที่มีคุณภาพดี ๆ กับ SGE PRINT ได้เลยจ้า 👍