เมื่อยอดขายของธุรกิจเริ่มตกลงหลายๆ ธุรกิจ มักเริ่มงัดแผนจะจัดโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม หรือโหมโปรโมทโฆษณา เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขาย ซึ่งหากวางแผน หรือคำนวณไม่ดีก็อาจจะนำมาซึ่งการขาดทุนได้ ที่สำคัญคู่แข่งก็เยอะขึ้นเป็นดอกเห็ด ธุรกิจจึงงัดกลยุทธ์ต่างๆ ออกมาใช้มากมาย หนึ่งในนั้นคือใช้ Storytelling กับแบรนด์ ซึ่งในยุคปัจจุบันการทำ การตลาดออนไลน์ จะทำเพียงแค่โฆษณาเฉยๆ ไม่ได้แล้ว แต่ต้องมีคอนเทนต์ที่ดี เพื่อให้แตกต่างจากคู่แข่งอีกด้วย มีหลายคนถึงกับเอ่ยว่าการทำธุรกิจในปัจจุบันหากไม่มี Content หรือ Storytelling ที่ดี ธุรกิจอาจจะขายของไม่ได้เลยก็ได้ วันน SGEPRINT จะพาไปดูประโยชน์ของการมี Storytelling ที่ดี ที่จะช่วยสร้างประโยชน์คุณค่า และความแตกต่างให้กับตัวแบรนด์ธุรกิจได้

👍 Story คือ เรื่องราว Telling เรื่องราว เพราะฉะนั้น Storytelling คือการเล่าเรื่องราว โดยหลักการคือการเล่าเรื่องราวของเรา ให้มีอิทธิฤทธิ์ของการเล่าเรื่อง ทำยังไงให้เป็นที่จดจำของผู้ฟัง เปรียบได้กับธุรกิจ กับสินค้าตัวนึง 🤘 เมื่อนึกถึงเรื่องราวแล้วเค้าจะนึกถึงเรา (ธุรกิจ) อย่างไร

ประโยชน์ของStorytelling ต่อธุรกิจ SGEPRINT

ประโยชน์ของ Storytelling 🤑 ต่อธุรกิจ

เคยสงสัยกันไหมครับว่า ทำไมผู้เชียวชาญทางการตลาดแนะนำให้สร้าง Story หรือเล่าเรื่องราวของสินค้าหรือบริการในการช่วยเพิ่มยอดขาย แทนที่จะยิงแอดโฆษณาให้จบๆ ไปเลย เราจะมาดูประโยชน์ของ 💪 Story telling กัน

1.ช่วยสร้างความแตกต่าง
การมีสิ่งที่ไม่เหมือนใคร เป็นเรื่องจำเป็นในการทำแบรนด์ Storytelling จะช่วยบอกเล่าเรื่องราว ที่ทำให้แบรนด์แตกต่างจากคู่แข่งอื่นๆ ด้วยเพราะเรื่องราวของแบรนด์ เป็นหนึ่งในไม่กี่ที่ไม่สามารถลอกกันได้ ซึ่ง Story telling ก็จะช่วยร้อยเรียงเรื่องราว และบอกเล่าสิ่งที่ทำให้แบรนด์แตกต่างจากคู่แข่ง

👌 ไทยประกันชีวิตถือเป็นตัวอย่างของ Story telling ที่คนไทยน่าจะรู้จักดีโดยมักจะถ่ายทอดเรื่องราวเอาชีวิตของคนๆ นึง มาทำเป็นละครเพื่อให้ผู้ชมเห็น คุณค่าของชีวิต ให้ทั้งความรู้สึกอบอุ่น ซาบซึ้ง และโศกเศร้า ซึ่งโฆษณานี้ทำให้ผู้ชมเกิดการบอกต่อ และจดจำภาพลักษณ์แบรนด์ได้ว่าจะมีละครแนวซึ้งๆ ปล่อยออกมาให้ติดตาม และเป็นที่พูดถึงอยุ่เสมอ

2.ช่วยสร้างการส่งต่อ
Story telling จะช่วยให้เกิดการส่งต่อ หรือแชร์เรื่องราวไปยัง Social Media ทั้งหลาย เพราะหากเป็นเนื้อหาโฆษณาเฉยๆ คนทั่วไปย่อมไม่อยากแชร์แน่นอน

3.สร้างการจดจำได้ดี
เป็นการสร้างตัวตนให้แบรนด์ผ่านการเล่าเรื่องราว ช่วยสร้าง Brand Awareness โดยที่อาจจะใช้การลงทุนไม่เยอะ เพราะถ้ามี Story ที่ดีคนก็จะจำได้เอง โดยไม่ต้องเพิ่มงบในการโฆษณาเลย

เทคนิคการเล่าเรื่องให้มีประสิทธิภาพต้องมีอะไรบ้าง

เทคนิคการเล่าเรื่องให้มีประสิทธิภาพต้องมีอะไรบ้าง

1. บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมา

อันนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่คลาสสิค และง่ายที่สุด หากบริษัท หรือสินค้ามีที่มาที่ไปที่น่าสนใจ แรงบันดาลใจ หรือจุดกำเนิดบริษัทที่น่าสนใจ ตัวอย่างเช่น ต้นกำเนิดของ แบรนด์ศรีจันทร์ หรือ แป้งศรีจันทร์ มาจากร้านขายยาเล็กๆ แถววังบูรพา ชื่อ สหโอสถ ก่อตั้งโดยคุณ พงษ์ หาญอุตสาหะ เมื่อปี 2491. หลังจากนั้นคุณพงษ์ ก็ได้ซื้อสูตรผงหอมโบราณจากหมอเหล็ง ศรีจันทร์ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น “ศรีจันทร์สหโอสถ” จนถึงปัจจุบันก็ดำเนินงานมาระยะเวลาถึง 70 ปี

2. การเล่าเรื่องแบบเปรียบเที่ยบกับความสำเร็จ
โดยเล่าเรื่องที่ Based on True Story หรือเปรียบเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และประสบความสำเร็จมาแล้ว เมื่อผู้ฟังหรือผู้รับสารได้ยินหรือเห็นก็จะสนใจทันที โดยมากมักเอาสิ่งเหล่านี้จับคู่กับ เงิน , สุขภาพ , เวลา เช่น ประโยคที่ว่าคนที่เรียนไม่จบก็ประสบความสำเร็จเป็นเศรษฐีได้ตัวอย่างเช่น บิลเกต , สตีฟ จ็อป ซึ่งบุคคลเหล่านี้ไม่ได้เรียนจบก็ประสบความสำเร็จเป็นมหาเศรษฐีได้ นี่คือตัวอย่างของการโน้มน้าวผู้ฟังด้วยการเอาความสำเร็จมาเปรียบเทียบหรือหลอกล่อ ทำให้ผู้ฟังที่มี Story หรือ สนใจเรื่องแบบนี้อยู่แล้วสนใจที่จะรับฟัง และคล้อยตาม

3. สร้างจุดเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจ และลูกค้า
การที่จะสร้างจุดเชื่อมโยงกันได้นั้น ธุรกิจ หรือแบรนด์ต้องเข้าใจ Pain Point ของลูกค้าเสียก่อน ถึงจะจุดติด การเล่าเรื่องแบบนี้ให้สอดแทรก ลักษณะเฉพาะ ของสินค้าเข้าไปเช่น หลอดไฟ LED ยี่ห้อ A มีชิปในหลอดไฟทั้งหมด 20 ชิป 🔥 ซึ่งให้ความสว่างถึง 15000 ลูเมน กินไฟ 10w ซึ่งถ้าใครที่อยู่ในวงการหลอดไฟ LED ก็จะรู้ว่าเป็นสเปคที่สูงและกินไฟต่ำมาก ทำให้ลูกค้าเกิดการสนใจ และจำภาพว่าแบรนด์ A คือที่สุดของหลอดไฟ LED ที่ให้ความสว่างสูง แต่กินไฟน้อยมาก

👏👏 อ่านมาถึงตรงนี้ ทุกคนคงทราบจุดประสงค์ของ Storytelling กันไปบ้างแล้ว คุณจะเห็นว่าการโพสขายสินค้าแบบเดิมๆ โฆษณาแบบเดิมๆ แทบจะไม่มีความน่าสนใจเลย หากคุณไม่ได้ขายสินค้าในราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งจริงๆ เพราะอย่าลืมว่าเหตุผลส่วนใหญ่ในการตัดสินใจซื้อสินค้าของลูกค้านั้นมักมี อารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ การมีการเล่าเรื่องใส่ไปในทุกๆ รายละเอียดของสินค้า ย่อมสร้างความได้เปรียบกว่าคู่แข่งของคุณที่เอาแต่โฆษณา และทำการตลาดแบบเดิมๆ แน่นอน