5G กำลังกลายเป็นคลื่นสัญญาณแห่งโลกอนาคต เพราะด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารที่พัฒนาก้าวหน้า อย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้มีการพัฒนาความเร็วของคลื่นสัญญาณอยู่เสมอ ซึ่งด้วยพฤติกรรมของผู้ใช้งาน ที่ต้องการความรวดเร็วในการสื่อสาร ติดตามข้อมูล และเสพสื่อเพื่อความบันเทิง ทำให้คลื่น 4G อาจไม่ตอบสนองต่อความต้องการใช้งานของผู้คนได้อีกต่อไป
ในวันนี้ สมาร์ทโฟนที่ออกใหม่หลายรุ่น จึงได้รองรับคลื่น5G กันมากขึ้น อันเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีการสื่อสารที่กำลังใกล้เข้ามา SGEPRINT จึงจะพาทุกคนมารู้กับ คลื่นสัญญาณ 5G ว่าคืออะไร มีที่มาที่ไปอย่างไน และจะมีประโยชน์ต่อชีวิตเรายังไงในอนาคต5G คืออะไร
5G ก็คือ คลื่นสัญญาณมือถือ ที่ถูกพัฒนาจนไม่เพียงสามารถเชื่อมต่อกับมือถือ เพื่อโทรเข้า โทรออก ส่งข้อความ เล่นโซเชี่ยล ดูหนัง ฟังเพลง ใช้งานแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ได้เท่านั้น แต่ยังสามารเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่ถูกโปรแกรมให้เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้ ทำให้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ในระยะใกล้ ไกล หากมีสัญญาณ 5g เชื่อมต่อถึงกัน เราจะสามารถควบคุมการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ นั้นได้ทันที
ซึ่งคลื่น5G นั้นก็ถูกพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถเริ่มใช้อย่างเป็นทางการในปี 2020 นี้เอง โดยแต่ก่อนจะมาเป็น 5G ก็เคยเป็นคลื่น 1G 2G 3G 4G ตามลำดับ ซึ่งแม้ว่าคลื่น 4g นั้น จะทำให้พวกเราแทบจะทำได้ทุกอย่างผ่านมือถือ แต่ก็ต้องยอมรับว่า มนุษย์ยังคงต้องการเทคโนโลยีคลื่นสัญญาณที่ดีมากขึ้น เพื่อเข้ามาพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกอีกมาก จึงทำให้คลื่น5G เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตเราในปัจจุบัน
5G ดีกว่า 4G ยังไง
1. เร็วกว่า แรงกว่า
คลื่นสัญญาณใหม่ ย่อมเร็วกว่าคลื่นเดิมอยู่เสมอ ซึ่ง 5G นั้น มีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 10-20 Gbps ขณะที่ 4g มีความเร็วอยู่ที่ 1 Gbps เรียกได้ว่า ห่างกันลิบลับ ทำให้สามารถโหลดไฟล์ใหญ่ ความละเอียดชัดสูงได้เร็ว ไม่มีปัญหาเลย หรือจะเล่นโซเชี่ยลก็ดี ไม่มีสะดุด
2. ความหน่วงแทบเป็นศูนย์
แม้ว่า คลื่น 4G จะมีความหน่วงต่ำมากแล้ว คือ 20 -30 มิลลิวินาที แต่สำหรับ 5g นั้น ความหน่วงแทบเป็นศูนย์ เพราะมีค่าอยู่ที่ 1 มิลลิวินาที เท่านั้น ซึ่งนั่นจะทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อ สามารถตอบสนองได้ไวขึ้น ไม่มีดีเลย์ ให้เสียจังหวะ โดยเฉพาะกับกิจกรรมที่ต้องเรียลไทม์ตลอดเวลา อย่าง การเล่นเกม หรือ การควบคุมเครื่องจักร ในการทำงาน
3. เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้มากกว่า
เพราะความเร็ว อัตราการตอบสนอง และความถี่ที่ต่ำ ทำให้คลื่น 4G รองรับการใช้งานจากอุปกรณ์จำนวนมากไม่ได้ แตกต่างจาก 5G ที่สามารถรองรับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้มากถึง 200,000-1,000,000 เครื่อง ต่อ ตร.กม. ซึ่งมากกว่า 4G ถึง 1,000 เท่า จึงเหมาะกับการเชื่อมต่อทั้งคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน เซนเซอร์ หรือระบบบ้านอัจฉริยะ ที่ต้องเชื่อมต่อกับหลากหลายอุปกรณ์ได้ รวมถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในโรงงาน บริษัทต่าง ๆ
ประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันของ5g
1. เสพสื่อความบันเทิงได้เร็วและสะดวกขึ้น
ได้พักผ่อนทั้งที ก็ต้องอยากดูหนัง ดูซีรี่ส์กันให้ได้เยอะสุด ๆ ใช่มั้ยล่ะ ซึ่ง5G ก็จะตอบโจทย์ให้เราสามารถดูหนัง ในความคมชัดระดับ 4K และ 8K ได้เลยทีเดียว และถ้าหากอยากดาวน์โหลดเก็บไว้ดูในภายหลัง ถึงแม้ไฟล์จะใหญ่ขนาดไหน ก็สามารถดาวน์โหลดได้เร็วมากกว่า 1GB ต่อวินาที และยังอัปโหลดได้เร็วสูงสุดถึง 500 mb ต่อวินาที เรียกได้ว่า โหลดไว อัปไว ถูกใจวัยรุ่นใจร้อนทุกคน
2. เล่นเกมไม่มีสะดุด
เพราะเกมออนไลน์หลายเกม มีผู้เล่นหลายคน และต้องสู้รบรับพันตู อุตลุตกันไปหมด ซึ่งบางจังหวะนั้น เกมจะสะดุดไม่ได้เด็ดขาด เพราะอาจหมายถึงผลแพ้ชนะ ซึ่งด้วยความที่คลื่น5G มีความหน่วงแทบเป็นศูนย์ ทำให้การเล่นเกมของเราจะไม่มีการแล็ค ดีเลย์ หรือสะดุดแน่นอน จึงเหมาะกับสายเกมมิ่ง หรือ สตรีมมิ่งออนไลน์ ที่ต้องคอยแข่งขันและถ่ายทอดสดให้ผู้ชมเข้ามาดูการเล่นอยู่เสมอ
3. ใช้งานได้ไหลลื่น แม้อยู่ในที่คนจำนวนมาก
เพราะคลื่น5G สามารถรองรับอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้มากถึง 200,000-1,000,000 เครื่อง ต่อ ตร.กม. ซึ่งมากกว่า 4G ถึง 1,000 เท่า ทำให้ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานที่ ที่มีผู้คนจำนวนมากอย่าง งานคอนเสิร์ต งานกาชาด งานแข่งขันกีฬา งานอีเวนต์ต่าง ๆ ก็สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้อย่างไหลลื่น ไม่มีสะดุด ไม่ว่าจะเล่นโซเชี่ยล ไลฟ์สตรีม หรืออัปโหลดไฟล์ใหญ่ขนาดไหน ก็สามารถทำได้โดยง่าย
4. พัฒนาบ้านเป็น Smart Home ได้เต็มตัว
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ภายในบ้าน ที่ทำให้ชีวิตเราสะดวกสบายขึ้น ส่วนใหญ่สามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น แอร์ ทีวี ไฟ กล้องวงจรปิด ซึ่งหากต่อด้วยสัญญาณ 4G ปกติ อาจจะรู้สึกว่ายังหน่วง ๆ อยู่ เนื่องจากต้องรองรับการใช้งานหลายเครื่อง และตัวคลื่นเองก็มีค่าความหน่วงอยู่หน่อยหนึ่ง แต่ถ้ามาใช้5Gด้วยค่าความหน่วงที่ต่ำ และรองรับการใช้งานได้หลายอุปกรณ์ในคราวเดียว จะทำให้เราสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ทั้งบ้านได้ ผ่านมือถือเครื่องเดียว อันจะทำให้สามารถควบคุมการเปิด – ปิดได้ ในระยะไกล ไม่ต้องไปเดินเปิดปิดเอง ซึ่งจะทำให้บ้านของเรา กลายเป็น Smart Home อย่างเต็มตัว
5. ศึกษาและเรียนรู้ได้เสมือนจริง
ในโลกทุกวันนี้ สามารถเรียนรู้กันได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว เมื่อมีสัญญาณอินเตอร์เน็ต 4G ขึ้นมา และมีเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นที่ทำให้คุณครูและนักเรียน เข้ามาเรียนออนไลน์ร่วมกันได้ แต่เนื่องจากยังมีอุปสรรคบางประการ ที่ทำให้การเรียนออนไลน์มีปัญหา ไม่ว่าในแง่ของการมีส่วนร่วมในการเรียน และ การสอนภาคปฏิบัติ ที่เมื่อไม่ได้เห็นของจริง ก็อาจเกิดความไม่เข้าใจ ทำให้หากมีสัญญาณ5G เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ VR หรือ Virtual Reality ที่ทำให้ครูและนักเรียน ได้เหมือนกับอยู่ในห้องเรียนเดียวกันแล้ว หากเราเป็นครู ก็จะสอนให้นักเรียนเข้าใจได้ง่ายมากขึ้น ในขณะที่หากเป็นนักเรียน ก็จะเรียนรู้ได้สนุก ไม่เบื่อง่าย เหมือนได้อยู่ในห้องเรียนจริง ๆ