โลจิสติกส์ (Logistics) เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาสินค้าและวัตถุดิบ เคลื่อนย้ายสินค้า การจัดเก็บสินค้า และการกระจายสินค้า ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้จะทำงานในลักษณะบูรณาการกับการจัดการห่วงโซ่อุปทาน โลจิสติกส์เปรียบเสมือนเป็นฟันเฟืองหลักที่ช่วยในการขับเคลื่อนการดำเนินงานต่างๆของห่วงโซ่อุปทานให้เคลื่อนที่ หลายคนคงสงสัยกับแหล่งที่มาของคำว่า โลจิสติกส์ (logistics) ซึ่งเป็นคำที่มาจากภาษาฝรั่งเศสคำว่า logistique ที่มีรากศัพท์คำว่าโลเชร์ (loger) ที่หมายถึงการเก็บโดยมีจุดเริ่มต้นมาจากการขนส่งสินค้าทางการทหารในการส่งกำลังบำรุงทั้งเสบียง อาวุธ และกำลังพลเพื่อสนับสนุนการรบ
อีกความหมายนึงคือการไหลจากจุดต้นทางตั้งแต่ผู้จัดส่งวัตถุดิบ (Supplier) ไปสู่ผู้ผลิต (Manufacturer) ผ่านไปยังผู้กระจายสินค้า (Distributor) จนถึงจุดหมายปลายทางนั่นคือลูกค้า (Customer) และผู้บริโภค (Consumer) เพราะฉะนั้นวันนี้ SGEPRINT ขำนำเสนอข้อมูลความรู้เกี่ยวกับโลจิสติกส์มาฝากทุกคนค่ะ

— โลจิสติกส์ขาเข้า และ โลจิสติกส์ขาออก คืออะไร ต่างกันอย่างไร? —
โลจิสติกส์ขาเข้า (Inbound Logistics) หมายถึง กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดหา การจัดเก็บ และการส่งมอบวัตถุดิบและชิ้นส่วนไปยังกระบวนการผลิตในโรงงานหรือธุรกิจต่างๆ โลจิสติกส์ขาเข้า เป็นกิจกรรมพื้นฐานที่มุ่งเน้นในเรื่องของการจัดซื้อจัดหาการกำหนดตารางการไหลเข้าของวัตถุดิบ เครื่องมือ และสินค้าขั้นสุดท้ายจากผู้จำหน่ายวัตถุดิบไปยังฝ่ายผลิต ฝ่ายคลังสินค้า รวมถึงร้านค้าปลีก 👉 ในขณะที่ โลจิสติกส์ขาออก (Outbound Logistics) เป็นกิจกรรมในการรวบรวม จัดเก็บ และกระจายสินค้าขั้นสุดท้าย รวมถึงการไหลของสารสนเทศที่เกี่ยวข้องจากโรงงานผู้ผลิตไปยังลูกค้าขั้นสุดท้ายหรือผู้บริโภค ซึ่งคลอบคลุมถึงกิจกรรมต่างๆ เช่น การเลือกวิธีการขนส่ง การจัดการการขนส่ง เป็นต้น ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการไหลออกของ ผลิตภัณฑ์จากผู้ขายไปยังผู้ซื้อ

— หัวใจสำคัญของความแตกต่างระหว่างโลจิสติกส์ขาเข้าและโลจิสติกส์ขาออก —
จากความหมายของโลจิสติกส์ขาเข้าและโลจิสติกส์ขาออก สามารถนำมาวิเคราะห์หัวใจสำคัญของความแตกต่างระหว่างโลจิสติกส์ขาเข้าและโลจิสติกส์ขาออกได้ดังนี้ 👉🏻 โลจิสติกส์ขาเข้าเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดหาวัตถุดิบเข้าสู่โรงงานผู้ผลิต ส่วนโลจิสติกส์ขาออกเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการกระจายสินค้าไปยังลูกค้าหรือผู้บริโภค 👉🏻 โลจิสติกส์ขาเข้ามุ่งเน้นให้ความสำคัญของการจัดการทรัพยากรและวัตถุดิบภายในโรงงานผู้ผลิต ส่วนโลจิสติกส์ขาออกนั้นมุ่งเน้นในด้านการนำสินค้าสำเร็จรูปหรือผลิตภัณฑ์ส่งไปยังลูกค้าหรือผู้บริโภค 👉🏻 และโลจิสติกส์ขาเข้าเป็นกิจกรรมที่ต้องมีการจัดการด้านความสัมพันธ์ระหว่างผู้จำหน่ายวัตถุดิบ (Suppliers) กับ โรงงานผู้ผลิต (Manufacturer) ส่วนโลจิสติกส์ขาออกเป็นการจัดการด้านความสัมพันธ์ระหว่าง ธุรกิจกับลูกค้าหรือผู้บริโภค

— การปรับตัวของธุรกิจในการพัฒนาโลจิสติกส์ขาเข้าและโลจิสติกส์ขาออก —
เนื่องจากโลจิสติกส์เป็นกิจกรรมที่มีส่วนสำคัญต่อการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายสินค้าจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดสุดท้ายได้อย่างถูกต้องในเวลาที่กำหนด ซึ่งจะเห็นได้ว่า โลจิสติกส์ขาเข้า และโลจิสติกส์ขาออก เป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างองค์กรหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทาน โดยในส่วนของโลจิสติกส์ขาเข้า เป็นกิจกรรมที่เป็นส่วนการเชื่อมต่อระหว่างผู้จำหน่ายวัตถุดิบกับผู้ผลิต 👉🏻 และในส่วนของโลจิสติกส์ขาออก เป็นกิจกรรมที่เป็นส่วนเชื่อมต่อระหว่างผู้ผลิตกับลูกค้าหรือผู้บริโภค ซึ่งธุรกิจโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมจะต้องปรับตัวโดยการให้ความสำคัญต่อพัฒนากระบวนการในกิจกรรม โลจิสติกส์ขาเข้าและโลจิสติกส์ขาออก โดยการวิเคราะห์กิจกรรมโลจิสติกส์ขาเข้าและโลจิสติกส์ขาออกเพื่อหาจุดที่จะต้องปรับปรุงและพัฒนา

— กรณีตัวอย่าง การจัดการโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมสัปปะรดกรณีศึกษาโรงงานขนาดใหญ่ —
จากการวิจัยเรื่องการจัดการโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมสัปปะรด (ธนัญญา วสุศรี และคณะ, 2550) ได้ศึกษาความเชื่อมโยงของอุตสาหกรรมสัปปะรดตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้นจนถึงขั้นตอนการส่งมอบให้กับลูกค้า ซึ่งสามารถวิเคราะห์กิจกรรม โลจิสติกส์ ขาเข้า และ โลจิสติกส์ ขาออก ได้ดังนี้
กิจกรรมโลจิสติกส์ขาเข้า (Inbound Logistics) ในกรณีตัวอย่างนี้เกี่ยวข้องกับการวางแผนของฝ่ายจัดหาวัตถุดิบ การวางแผนของฝ่ายผลิต การจัดซื้อจัดหา และการผลิต ซึ่งสรุปสั้นๆในส่วนของการวางแผนของฝ่ายจัดหาวัตถุดิบ ฝ่ายจัดหาวัตถุดิบจะรับผิดชอบงานได้ 3 ส่วน ดังนี้คือ
1) จัดหาวัตถุดิบที่เป็นพืช ได้แก่ สัปปะรด อาหารสัตว์ และโครงการ สนับสนุนและตรวจติดตามเกษตรกร ทั้งนี้การวางแผนจัดหาวัตถุดิบนั้นจะมีการวางแผนรายปี รายเดือน รายสัปดาห์ และรายวัน
2) การวางแผนของฝ่ายวางแผนผลิต ฝ่ายวางแผนผลิตจะรับข้อมูลจาก 3 ส่วนหลัก ได้แก่ แผนการ จัดหาจากฝ่ายจัดหาวัตถุดิบ แผนการส่งออกจากฝ่ายบริการลูกค้า และข้อมูลปัจจัยในการผลิต เช่น จำนวนคนงาน คุณภาพวัตถุดิบ กำลังการผลิตของเครื่องจักร ซึ่งเมื่อได้ข้อมูลดังกล่าวแล้ว ฝ่ายวางแผนจะท าการคำนวณจำนวนตู้ ผลิตและแจ้งให้ฝ่ายบริการลูกค้าทราบ ข้อมูลอีกส่วนหนึ่งที่ใช้ในการวางแผนการผลิตจะได้จากข้อมูลการผลิต ประจำวันจากรายงานยอดผลิตของฝ่ายผลิตและนำไปเปรียบเทียบกับแผนการผลิตประจำวันว่าผลิตได้ตามแผนหรือไม่ และจะถูกจัดทำเป็นรายงานการผลิตประจำวัน
3) การจัดซื้อจัดหาสามารถแบ่งการจัดซื้อจัดหาออกเป็น 3 ประเภท คือ (1) วัตถุดิบหลัก คือ สัปปะรด และสารปรุงแต่ง (2) วัตถุดิบทางอ้อม ได้แก่ กล่อง ฉลาก กระป๋อง (3) บริการขนส่งสินค้าเพื่อการส่งออก
4) เมื่อฝ่ายผลิตได้รับ Daily Pack Plan จากฝ่ายการวางแผนการผลิต ฝ่ายผลิตจะทำการผลิตตามแผนดังกล่าวโดยเริ่มตั้งแต่การชั่งน้ำหนักสัปปะรดพร้อมรถขนส่ง จากนั้นจะถูกสุ่มตรวจสอบหาค่าปริมาณไนเตรทของสัปปะรด แล้วจึงนำสัปปะรดเทลงสู่สายพาน ผ่านการตรวจสอบความสุก และตรวจคัดของเสีย สัปปะรดที่ ไม่ได้คุณภาพจะถูกคัดออก สัปปะรดที่ผ่านการคัดจะถูกนำไปล้างภายนอกให้สะอาดด้วยไอน้ำร้อน จากนั้นคัดแยก ตามขนาด นำไปปอกเปลือกและเจาะแกนออกและผ่านกระบวนการต่างๆ จนกระทั่งบรรจุลงกระป๋อง รอตรวจสอบ คุณภาพจากฝ่ายประกันคุณภาพ และส่งมอบต่อไปยังคลังสินค้าเพื่อจัดเก็บสินค้าก่อนที่จะส่งมอบต่อให้กับลูกค้า
กิจกรรมโลจิสติกส์ขาออก (Outbound Logistics)
1) การจัดเก็บสินค้า เมื่อสัปปะรดผ่านการตรวจสอบคุณภาพเบื้องต้นจากฝ่ายประกันคุณภาพเรียบร้อยแล้ว สัปปะรดกระป๋องจะถูกส่งมอบเข้าสู่คลังสินค้า และจัดเก็บเป็นเวลา 7 วัน เพื่อรอผลการตรวจสอบขั้นสุดท้าย ก่อนจำหน่ายได้ สินค้าแต่ละรายการจะมีคำสั่งซื้อที่ต่างกันหรือยังไม่มีคำสั่งซื้อ ซึ่งจะต้องเก็บอยู่ในคลังสินค้าก่อน เมื่อสินค้าที่มีคำสั่งซื้อเข้ามาจะถูกนำมาตรวจสอบอีกครั้ง เมื่อผ่านการตรวจสอบจะนำสัปปะรดกระป๋องมาปิดฉลาก ตามที่ลูกค้าต้องการและพิมพ์ code ตามที่ลูกค้าต้องการ บรรจุลงลังกระดาษ นำขึ้นพาเลทแล้วนำเข้าสู่ตู้คอนเทนเนอร์
2) การส่งมอบ ในส่วนของการจัดการขนส่งสินค้านั้นฝ่ายบริการลูกค้าจะดูแลการประสานงานกับหน่วยงานภายนอก ได้แก่ เอเย่นต์เรือ รถหัวลาก เพื่อให้โรงงานจัดสินค้าเพื่อเดินทางไปส่งที่ท่าเรือกกรุงเทพฯ หรือ ICD ลาดกระบัง หรือท่าเรือแหลมฉบัง โดยกระบวนการเตรียมการส่งมอบสินค้าไปยังต่างประเทศจะเริ่มเตรียมงาน เมื่อฝ่ายวางแผนการผลิตได้กำหนดวันที่จะผลิตสำหรับคำสั่งซื้อนั้นๆ จากนั้นฝ่ายบริการลูกค้าจะดำเนินการจองเรือ และจัดทำเอกสารสำหรับการส่งออก เมื่อได้รับตารางการขนส่งจากเอเย่นต์เรือแล้ว ฝ่ายบริการลูกค้าจะแจ้ง กำหนดการของเรือไปยังฝ่ายคลังสินค้าเพื่อทำการติดฉลากและรอการขนส่งลงตู้คอนเทนเนอร์ต่อไป
เป็นอย่างไรบ้างคะทุกคน!! โลจิสติกส์ จะมีประสิทธิภาพสูงสุดมากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับนักโลจิสติกส์หรือผู้บริหาร ด้านโลจิสติกส์ ที่จะสามารถวิเคราะห์และวางแผนการจัดการโลจิสติกส์ทั้งในส่วนของโลจิสติกส์ขาเข้าและโลจิสติกส์ ขาออกได้มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน ดังนั้น ผู้ที่สามารถวิเคราะห์และวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้การดำเนินการไหลของห่วงโซ่อุปทานก็จะมีประสิทธิภาพตามไปด้วย สามารถติดตามบทความอื่นได้ที่นี่