หลังจากที่ Work From Home หรือ การทำงานที่บ้าน มาสักพัก ก็คงได้เรียนรู้กันว่าจริงๆทำงานที่บ้านมันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย และที่สำคัญการทำงานที่บ้านก็วุ่นวายไม่ต่างจากที่ทำงานเลย เวลาแต่ละวันผ่านไปรวดเร็วจริงๆ ถ้าเราอยากให้การทำงานของเรามีประสิทธิผลมากขึ้นจะต้องทำอย่างไร 

ในสถานการณ์ปัจจุบัน การทำงานที่บ้านอาจไม่ใช่แค่เทรนด์การทำงานที่เกิดขึ้นตามสมัยนิยม หรือ “ทางเลือก” ในการทำงานเท่านั้น แต่มันกำลังจะกลายเป็น “ทางรอด” ของมวลมนุษยชาติ เมื่อคราวเกิดวิกฤตโรคระบาด อย่างที่เรากำลังเผชิญกับ “โควิด-19” ที่มาจากไวรัส “โคโรน่า” ที่ยังมองไม่เห็นตอนอวสาน จากการศึกษาข้อมูลจากเว็บไซต์ SCB ได้สรุปแนวทางการทำงานที่มีประสิทธิภาพดังนี้ 

1. ปรับทัศนคติในการทำงาน

สำหรับหัวหน้างาน 👉 ต้องไว้เนื้อเชื่อใจลูกน้อง ว่าสามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายได้ ห้ามจับผิดกันเด็ดขาด สำหรับงานบางฟังก์ชันที่อาจมีเนื้องานน้อยลงอาจลองมอบหมายให้ทีมฯ รับผิดชอบเนื้องานใหม่ หรือวางแผนพัฒนางานให้ดีขึ้นก็ได้ สำหรับลูกน้อง 👉 ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการ Work From Home ไม่ใช่ Holiday ต้องวางแผนทำงานให้ชัดเจนเสมือนไปทำงาน และพร้อมที่จะ on call ตลอดเวลา ตามเวลาทำงานของแต่ละบริษัท

2. จัดเตรียมพื้นที่สำหรับทำงาน

ควรมีพื้นที่ที่จัดไว้สำหรับการทำงานโดยเฉพาะ เช่น จัดเตรียมโต๊ะ เก้าอี้สำหรับทำงาน รวมถึงอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น โน้ตบุ๊ค ปลั๊กไฟ สมุด ปากกา ฯลฯ  ให้พร้อม และจัดโต๊ะให้เรียบร้อย จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการทำงานได้ดียิ่งขึ้น  ที่สำคัญห้ามนั่งทำงานบนโซฟา หรือบนเตียง นานๆ เพราะอาจทำให้ไม่พร้อมที่จะทำงาน และอาจปวดหลังได้ ที่สำคัญควรเช็คว่าสัญญาณ WIFI เพียงพอที่จะทำงานหรือไม่ เพราะอาจต้องใช้อินเทอร์เน็ตทั้งวัน อาจลองโทรไปเช็คเพื่ออัพเกรดความเร็วกับทาง Internet Provider เพิ่มเติม 

3. เคลียร์กับคนในบ้านให้เข้าใจ การ Work from Home สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ต้องไปทำงานทุกวันในยุคนี้เป็นเรื่องใหม่ ดังนั้นอาจต้องเคลียร์กับคนที่บ้านให้เข้าใจว่าต้องพร้อมที่จะทำงานตลอด Office Time ดังนั้นในช่วงกลางวันอาจต้องขอพื้นที่ส่วนตัวในการทำงาน เพื่อที่จะได้โฟกัสกับงานได้เต็มที่ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็ก ถ้ามีคนช่วยดูแลลูกในช่วงกลางวันอาจต้องรบกวนให้ช่วยดูแลในเป็นหลัก  แต่ถ้าไม่มีใครช่วยดูแล อาจต้องคุยกับทีมฯ ให้เข้าใจและจัดสรรเวลาในการทำงาน

4. กำหนดแผนงานให้ชัดเจน

ควรมี To do List และจัดสรรความสำคัญของงานในแต่ละวัน ว่ามีอะไรที่จำเป็นต้องทำให้เสร็จก่อนหลังอย่างไร เช่น งานด่วน งานเร่ง งานสำคัญ หรือมีงานค้างที่ต้องตามจากใครบ้าง  ถ้ามีประชุมควรมีการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเริ่มประชุมซัก 15 นาที และฝึกใช้แอปประชุมออนไลน์ให้คล่อง ยิ่งถ้ามีการนำเสนองาน ก็ควรเตรียม agenda และไฟล์งานให้พร้อม ที่สำคัญในการประชุมออนไลน์ผ่านแอปต่างๆ  หลายคนอาจไม่ชอบเปิดกล้องเพราะอาจจะเขินหรือไม่คุ้นเคย แต่ในความเป็นจริงการเปิดกล้องจะทำให้เราโฟกัสกับการประชุมมากขึ้น ทั้งยังเห็นสีหน้าท่าทางของผู้เข้าประชุม ทำให้รู้ Feed Back ของเรื่องที่คุยกันแบบเรียลไทม์ และการประชุมก็จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

5. มีเวลาพักผ่อนและเลิกงานที่ชัดเจน

ในการทำงานที่บ้านก็ต้องตั้งเวลาในเริ่มงาน พักเที่ยง และเลิกงานให้เหมือนเวลาไปทำงาน  อย่าหักโหมกับงานเกินเหตุ เพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ ที่สำคัญจะได้เวลาที่เหลือจากการเดินทางในแต่ละวันกลับคืนมา อาจทำให้เราใช้เวลาในส่วนนี้มาทำอย่างอื่นได้อีก 

SGEPRINT


6. การหาแรงบันดาลใจ

การทำงานที่บ้าน หรือ Work From Home เป็นเวลานาน อาจทำให้มีระยะเวลาของการเดินทาง ไม่ค่อยได้เจอโลกภายนอกซึ่งอาจเป็นข้อเสียเล็กๆ ที่เกิดขึ้นสำหรับคนที่ต้องทำงานสายครีเอทีฟ หรือต้องการแรงบันดาลใจเพื่อขับเคลื่อนงาน ฉะนั้น แบ่งเวลาพักส่วนหนึ่งมาเพิ่มแรงบันดาลใจในการทำงาน ก็มีส่วนช่วยให้การทำงานที่บ้านมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ เช่น เปิดเพลงที่ช่วยในการผ่อนคลาย อย่างเสียงธรรมชาติ ดนตรีบรรเลง หรือแม้กระทั่งเปิดหน้าต่างทิ้งไว้เพื่อให้เสียงจากภายนอกเข้ามาบ้าง อ่านหนังสือ หรือทำสิ่งที่ชอบ เพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์

7. Feedback งานกันอยู่เสมอ

การ Feedback เป็นสิ่งสำคัญในการทำงาน ซึ่งเวลามาทำงานที่ออฟฟิศปกติเราเจอหน้ากัน เราจะสามารถคุยกันได้ทันทีเพราะแค่หันหน้าไปก็เจอแล้ว  แต่การทำงานกันคนละที่จะทำให้การพูดคุยกันนั้นน้อยลง ซึ่งสุดท้ายอาจทำให้งานล่าช้า หรือมีปัญหาได้ เพราะฉะนั้นต้องมีการพูดคุยหรือ Review งานกันอยู่เสมอ ซึ่งเดี๋ยวนี้มีโปรแกรมให้เราได้ Video Conference มากมาย เช่น Microsoft Teams หรือ Google Hangouts

8. ไม่ต้องขนาดผูกเนคไท แต่ก็ไม่ใส่ชุดนอน

ถึงจะทำงานที่บ้านก็จริง แต่การใส่ชุดนอนมานั่งทำงานอาจจะทำให้เรารู้สึกสบายเกินไปจนไม่ได้เริ่มต้นทำงานอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ต้องถึงขนาดใส่สูท ผูกเนคไท หรือใส่เดรสแบบที่เป็นทางการเหมือนออกไปทำงานข้างนอก อย่างน้อยที่สุดก็ควรอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดอื่น เพื่อร่างกายจะรู้สัญญาณว่าเราพร้อมแล้วสำหรับการทำงาน


เป็นอย่างไรกันบ้างคะ เมื่อนายจ้างพร้อม พนักงานพร้อม ถือเป็นความร่วมมือกันในการทำงาน ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่บริษัทได้วางไว้ 
เพราะฉะนั้นทุกคนควรสื่อสารกันด้วยความเข้าใจที่ตรงกัน รับฟังปัญหาและความคิดเห็น ตั้งใจเรื่องงาน แต่อย่าลืมคุยเล่น ถามสารทุกข์สุขดิบกันบ้าง อยู่บ้านเหงาไหม กลางวันกินอะไร ทำงานที่บ้านให้ได้อารมณ์เหมือนทำงานอยู่ด้วยกันที่ออฟฟิศนะคะ สามารถติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่